ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 วงการการเมืองไทยกลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ระงับการปฏิบัติหน้าที่ โดยรับคำร้องของ สว. จำนวน 40 คนไว้พิจารณา ด้วยคะแนนเสียง 7 ต่อ 2 เสียง การตัดสินใจครั้งล่าสุดนี้ ตอกย้ำบทบาทที่สำคัญและมักเป็นที่ถกเถียงของศาลรัฐธรรมนูญในการกำหนดทิศทางทางการเมืองของประเทศ นับตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 หรือแปดปีหลังรัฐประหาร 2557 ศาลรัฐธรรมนูญได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นคนสำคัญที่มีอำนาจตัดสินชี้ขาดในหลายประเด็น ตั้งแต่การตัดสิทธิ์นักการเมือง การยุบพรรคการเมือง ไปจนถึงการล้มล้างรัฐบาล ซึ่งส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการบริหารประเทศ "เดอะ แมทเทอร์" จะพาไปทบทวนการวินิจฉัยที่สำคัญเหล่านี้

ความไม่สมบูรณ์ของคำสาบาน: ประเด็นแรกของ พล.อ.ประยุทธ์
หลังการเลือกตั้งปี 2562 ไม่นาน เกิดคำถามถึงความสมบูรณ์ของคำสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าขาดตอนสำคัญคือ "และจะรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ" ประเด็นนี้ก่อให้เกิดการถกเถียงถึงความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แต่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 35/2562 พิปฤกษ์ให้ยกคำร้อง โดยเห็นว่าการกล่าวคำสาบานเป็นเรื่องของพิธีกรรมทางการเมืองที่อยู่นอกเหนืออำนาจการตรวจสอบของศาลรัฐธรรมนูญ
สถานะหัวหน้า คสช.: นอกเหนือขอบเขตอำนาจรัฐ
ตามมาด้วยประเด็นท้าทายอีกครั้ง สส. ฝ่ายค้านยื่นคำร้องว่าการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งเป็นผลพวงจากการรัฐประหาร ทำให้มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทว่าศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า คสช. เป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นตามการรัฐประหาร และการดำรงตำแหน่งหัวหน้า คสช. ไม่ใช่การดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐตามความหมายที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ จึงไม่ถือเป็นความผิด
ธนาธรและหุ้นสื่อ: จุดเริ่มต้นของการถูกตัดสิทธิ์
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถูกกล่าวหาว่าครอบครองหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการสื่อมวลชน ในเดือนพฤษภาคม 2562 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายธนาธรยุติการปฏิบัติหน้าที่ สส. และต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2562 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยให้นายธนาธรพ้นจากสมาชิกภาพ สส.
ยุบพรรคอนาคตใหม่: บทสรุปของคดีเงินกู้
หลังจากนายธนาธรถูกตัดสิทธิ์ กกต. ได้ยื่นคำร้องอีกครั้งต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยครั้งนี้เกี่ยวกับกรณีเงินกู้ 191 ล้านบาทจากนายธนาธรไปยังพรรคอนาคตใหม่ กกต. อ้างว่าเป็นการกระทำอันมีลักษณะเป็นการกู้ยืมเงินอันเป็นการต้องห้ามตามกฎหมายพรรคการเมือง เพื่อปกปิดหรือลวงให้ปรากฏว่าพรรคการเมืองมีทรัพย์สินมากกว่าที่เป็นจริง ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ และตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค รวมถึงนายธนาธร จากการดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี
การอาศัยบ้านพักทหาร: ไม่ใช่การขัดต่อกฎหมาย
ในอีกคดีหนึ่ง สส. จำนวน 55 คน ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตรวจสอบความเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ กรณีที่ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านพักรับรองของกองทัพบก ทั้งที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว โดยอ้างว่าเป็นการรับประโยชน์ส่วนตัวเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด แต่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 29/2563 ว่าการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับการจัดให้พักอาศัยในบ้านพักรับรองของกองทัพบก โดยมีค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ที่กองทัพบกเป็นผู้รับผิดชอบนั้น เป็นการกระทำที่สอดคล้องกับระเบียบของกองทัพบก และไม่ได้เป็นการรับประโยชน์ส่วนตัวเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จึงไม่ถือว่าเป็นการสิ้นสุดสมาชิกภาพ สส.
การชุมนุม 10 สิงหาคม 2563: ข้อกล่าวหาเรื่องการล้มล้างสถาบัน
ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่สำคัญเกี่ยวกับการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต โดยวินิจฉัยว่าการชุมนุมดังกล่าว ซึ่งมีบุคคลสำคัญ เช่น นายอานนท์ นำภา ทนายความ และนักกิจกรรม เช่น น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล และนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ เป็นแกนนำนั้น เป็นการกระทำที่มีเจตนามุ่งหมายเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
พิธาถูกพักการเมือง: ปมถือหุ้น iTV
หลังการเลือกตั้งปี 2566 มีการเปิดเผยว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ถือครองหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการมรดก กกต. จึงยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับสถานะ สส. ของนายพิธา ส่งผลให้นายพิธาต้องถูกพักการปฏิบัติหน้าที่ สส.
ยุบพรรคก้าวไกล: ข้อกล่าวหาเรื่องการบ่อนทำลายการปกครอง
ในปี 2567 ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคดีที่ กกต. ขอให้พิจารณาสั่งยุบพรรคก้าวไกล โดย กกต. ได้ยื่นพยานหลักฐานว่าพรรคก้าวไกลกระทำการที่เข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคจากการดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี
เศรษฐาพ้นเก้าอี้: ปมแต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน
เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 4 เสียง ว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี เนื่องจากขาดคุณสมบัติและมีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่ซื่อสัตย์สุจริต กรณีการแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
รับคำร้อง สว.: ปมคลิปเสียงนายกฯ
ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ สว. ที่ขอให้พิจารณาสั่งให้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ระงับการปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนการวินิจฉัย ส่งผลให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ
ยกคำร้อง กกต.: ข้อกล่าวหาฮั้วเลือก สว.
ในวันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยกคำร้องของนายณัฐพร โตประยูร ที่กล่าวหาว่า กกต. และบุคคลอื่น ๆ กระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมายในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา โดยอ้างว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่พรรคภูมิใจไทย ศาลรัฐธรรมนูญให้เหตุผลว่า การดำเนินการดังกล่าวอยู่ในอำนาจของหน่วยงานที่รับผิดชอบกระบวนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา และไม่เข้าข่ายการตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49