×

กรุณาใส่รหัสผ่าน

×

แก้ไข index.html

ฮุนเซนและปมอำนาจ: เข้าใจเพื่อนบ้านในยุคใกล้

เปิดมิติใหม่ของการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ภูมิภาคที่ส่งผลต่อไทยโดยตรง

เปิดประเด็น: ทำไมต้องเข้าใจประวัติศาสตร์เพื่อนบ้าน?

ท่ามกลางกระแสความสนใจในประวัติศาสตร์อันไกลโพ้นของชาติไทย หลายครั้งเราอาจละเลยการศึกษาประวัติศาสตร์ร่วมสมัยและตัวละครสำคัญที่มีอิทธิพลโดยตรงต่อภูมิภาคของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิดอย่างกัมพูชา และผู้นำอย่าง ฮุนเซน ผู้ซึ่งมีบทบาททางการเมืองมาอย่างยาวนาน การเข้าใจเส้นทางอำนาจ ความสัมพันธ์ และเกมการเมืองของเขา รวมถึงผู้นำประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เช่น เวียดนาม จะช่วยให้เรามองเห็นภาพบริบททางภูมิรัฐศาสตร์ปัจจุบันได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

บทบาทของผู้นำในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ที่มีทั้งประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรี ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่อาจรู้จักน้อยกว่าผู้นำจากชาติตะวันตกนั้น กลับมีนโยบายและการดำเนินงานที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศไทย ไม่แพ้หรืออาจจะมากกว่าอำนาจจากมหาอำนาจภายนอก

เส้นทางอำนาจของฮุนเซน: จากเขมรแดงสู่ผู้นำกัมพูชา

ฮุนเซน (ปัจจุบันคือสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเตโช ฮุนเซน) เริ่มต้นเส้นทางทางการเมืองอย่างเข้มข้นในฐานะทหารราบของกองทัพเขมรแดงแปรพักตร์ ซึ่งต่อมาได้เข้าร่วมกับฝ่ายเวียดนามเพื่อโค่นล้มระบอบเขมรแดงของพล พต

ยุคตั้งต้น: รัฐหุ่นเชิดเวียดนาม

ภายใต้การนำของ เฮง สัมริน ซึ่งอาศัยกองทัพเวียดนามเข้ายึดอำนาจและรัฐประหารรัฐบาลกัมพูเจียประเจียธิปไตยของพลพต ได้มีการขับไล่เขมรแดงไปประจำที่มั่นอัลลองเวง และสถาปนา สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูเจีย ขึ้น ฮุนเซนในวัยเพียง 26 ปี ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลหุ่นเชิดนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในเวทีการเมืองระดับสูง

กลยุทธ์ทางการทูตสู่ตำแหน่งนายกฯ

ในช่วงปี 1979-1985 ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการเจรจาการเมืองกัมพูชาหลายฝ่าย ฮุนเซนได้ใช้ฝีปากและชั้นเชิงทางการทูตอันชาญฉลาด เพื่อผลักดันให้เวียดนามถอนกำลังออกจากกัมพูชา หยุดการสนับสนุนเขมรแดงจากจีน และให้สหภาพโซเวียตยุติการสนับสนุนเฮง สัมริน ที่กำลังเผชิญปัญหาความชอบธรรมและฐานอำนาจที่สั่นคลอน

ด้วยความสามารถในการพลิกเกมทางการทูตนี้เอง ทำให้ฮุนเซนสามารถก้าวขึ้นมามีบทบาทนำ โดยการชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากเฮง สัมริน ในปี 1985 ขณะมีอายุเพียง 32 ปี หลังจากที่เฮง สัมริน เสียการสนับสนุนจากเวียดนามไป

การเลือกตั้งภายใต้ UN และการสถาปนาราชอาณาจักรกัมพูชา

หลังจากการเจรจาโดยสหประชาชาติ นำมาสู่การเลือกตั้งที่ได้รับการสนับสนุนจาก UN และการรื้อฟื้นสถาบันพระมหากษัตริย์ให้กลับมาเป็น ราชอาณาจักรกัมพูชา อีกครั้งในปี 1993 ฮุนเซนได้ใช้กลยุทธ์อย่างชาญฉลาด

เขาใช้ สมเด็จนโรดม สีหนุ เป็นสัญลักษณ์ เรียกความรู้สึกโหยหาอดีตและความมั่นคงกลับคืนมา ทำให้พรรคของตนได้รับคะแนนเสียงส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ แม้พรรคฟุนซินเปค (FUNCINPEC) ของเจ้าชาย นโรดม รณฤทธิ์ จะได้รับเสียงข้างมากจากการเลือกตั้งในปี 1993 แต่ฮุนเซนไม่ยอมรับผลดังกล่าว และทำการเจรจาจนสำเร็จในการเป็น นายกรัฐมนตรีร่วม กับเจ้าชายรณฤทธิ์

การรวบอำนาจและการรัฐประหารปี 1997

ขณะเดียวกัน ฮุนเซนก็ค่อยๆ ลิดรอนพระราชอำนาจของราชวงศ์นโรดม และบั่นทอนอำนาจของพรรคคู่แข่งอย่างฟุนซินเปค โดยอาศัยความขัดแย้งภายในราชวงศ์เอง จนกระทั่งในปี 1997 เกิดการรัฐประหารขึ้น โดยมีเป้าหมายหลักคือเจ้าชายรณฤทธิ์และพรรคฟุนซินเปค ซึ่งถูกบีบให้เหลือที่นั่งในสภาเพียงน้อยนิด และหมดความสำคัญทางการเมืองไปในที่สุด

นับแต่นั้นมา ฮุนเซนก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเดี่ยว และดำรงตำแหน่งมาอย่างยาวนาน

การสืบทอดอำนาจและกลไกชาตินิยม

เมื่อสมเด็จนโรดม สีหนุ สละราชบัลลังก์ สภาฯ ได้เลือก สมเด็จนโรดม สีหมุนี ขึ้นเป็นประมุขแห่งรัฐ โดยเป็นที่รับรู้กันว่าพระองค์ทรงไม่มีพิษภัยทางการเมือง และทรงใช้ตำแหน่งเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมเป็นหลัก ฮุนเซนได้ใช้โอกาสนี้ในการมอบยศศักดิ์และตำแหน่งต่างๆ ให้กับเครือญาติและพวกพ้องของตนเอง

ตลอดระยะเวลาหลายสิบปี ฮุนเซนมักใช้ ท่าทีชาตินิยม ควบคู่ไปกับการปลุก ความหวาดกลัวการแตกแยก และ ความทรงจำอันเลวร้ายในยุคเขมรแดง มาเป็นเครื่องมือในการหล่อหลอมความคิดของชาวกัมพูชา ทำให้แม้แต่ผู้ที่ไม่พอใจฮุนเซน ก็ยังคงมีความรู้สึกหวาดระแวงต่อประเทศเพื่อนบ้านอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อการควบคุมอำนาจทางการเมืองของเขา

การเมืองระหว่างประเทศ: พลิกเกมบนปัญหาชายแดน

ฮุนเซนใช้ปัญหาเรื่อง เขตแดน และ ปัญหากับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งลาว เวียดนาม และโดยเฉพาะประเทศไทย เป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรม และปลุกกระแสความรู้สึกชาตินิยม ก่อให้เกิดการปะทะหรือความตึงเครียดเป็นระยะๆ

แม้ว่าในระดับผู้นำ การทูตระหว่างประเทศจะต้องวางท่าทีเป็นมิตรต่อกัน แต่การที่เราจะเชื่อมั่นในมิตรภาพที่ยั่งยืนกับผู้นำที่มีประวัติศาสตร์พลิกเหลี่ยม หักหลังทั้งนายเก่า เจ้านาย และพันธมิตรมากมาย เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจอย่างฮุนเซนนั้น เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย การมองว่าผู้นำเหล่านี้เป็นเหมือน "ลุง" หรือ "หลาน" ในทางการเมืองนั้น เป็นความเข้าใจที่อาจนำไปสู่การประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาด

บทเรียนสำหรับไทย: ความเข้าใจคือเกราะป้องกัน

การศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อนบ้านในยุคใกล้ ไม่ได้มีไว้เพื่อการสร้างความเกลียดชัง แต่เพื่อ ความเข้าใจ ในพลวัตอำนาจ บริบททางสังคม และแรงจูงใจของตัวแสดงสำคัญในภูมิภาค การรับรู้ถึงวิธีการรักษาอำนาจ การใช้ประโยชน์จากประเด็นอ่อนไหว และกลยุทธ์ทางการเมืองที่ผู้นำเหล่านั้นใช้ จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถวางแผนและดำเนินนโยบายได้อย่างรอบคอบ มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ

การให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย รวมถึงบุคคลสำคัญที่มีบทบาทในปัจจุบัน จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างความแข็งแกร่งและความยั่งยืนให้กับประเทศไทยในเวทีประชาคมโลก

ประเด็นสำคัญที่ควรจดจำ

การเมืองคือผลประโยชน์

ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวร การเมืองวัดกันด้วยผลประโยชน์สูงสุดเสมอ

ประวัติศาสตร์คือบทเรียน

ความเข้าใจในประวัติศาสตร์ยุคใกล้ นำไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้องในปัจจุบัน

การศึกษาที่ขาดหาย

การเรียนรู้เรื่องเพื่อนบ้านควรได้รับการเน้นย้ำในระบบการศึกษาไทย